หากให้เดากันว่าการรถไฟของประเทศใด...
- เริ่มก่อสร้างรถไฟสายแรกกว่า ๑๒๑ ปีที่แล้ว
- มีหัวรถจักรดีเซลใช้งาน มากว่า ๘๒ ปี (ก่อนประเทศมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่นกว่า ๑ ปี)
- มีวิสัยทัศน์ก่อสร้างระบบรถไฟโดยที่ไม่ได้ถูกประเทศฝั่งตะวันตกบังคับ
- มีกิจการรถไฟที่ก้าวหน้าเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย
น้อยคนนักคงจะนึกออก แต่หากให้ทายว่าการรถไฟของประเทศใด...
- มีหนี้ผูกพันกว่า ๗๐,๐๐๐ ล้าน
- มีหัวรถจักรที่ใช้ได้เพียง ๑๓๕ หัว จากทั้งหมดที่ประจำการ ๒๓๔ หัว
- มีอุบัติเหตุกว่า ๕๐๐ ครั้งในรอบ ๖ ปี (แหล่งข่าว: TPBS)
- มักล่าช้า จนเอามาเป็นจุดขาย (http://www.youtube.com/watch?v=ViaP1PbQTPY)
- การให้บริการ และดูแลความสะอาด ต่ำกว่ามาตรฐาน
พูดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างอดีตอันเกรียงไกรจนถึงวันนี้...เกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญคือ เราจะเดินกันอย่างไรต่อไป
อันที่จริงการคมนาคมทางรางนั้นมีประโยชน์มากมาย หลายอย่าง:- ถูก ประหยัด ปลอดภัย(ถ้าได้มาตรฐาน)
- ราคาการขนส่งสินค้า ๑ ตัน ไป ๑ กิโลเมตร หาก เป็นรถไฟจะตกอยู่ ที่ ๑.๓ บาท ซึ่งถูกกว่ารถบรรทุก กว่า ๓๕%
- ทุกวันนี้ มี ประชาชนใช้รถไฟไทยเพียง ๕% การขนส่งสินค้าเพียง ๒.๒% และ สามารถรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางราง(อุปสงค์)ในประเทศได้เพียง ๓๐% ดังนั้นมีโอกาสทางตลาดสูง เพราะ อุปสงค์ มาก กว่า อุปาทาน
- ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ โครงการเมกะโปรเจคอย่างท่าเรือน้ำลึกทวาย ทำให้การพึ่งการรถไฟซึ่งสามารถขนส่งสิ้นค้าได้มากกว่ารถบรรทุกถึง ๖๐ ด้วยน้ำมันหนึ่งลิตร เป็นสิ่งที่หลีกเลี้ยงไม่ได้ และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ
- รถไฟไทยมีทรัพย์สินมาก และเริ่มได้รับความสนใจจากรัฐบาลมากขึ้นจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มใช้สิ่งที่มีอยู่ให้คุ้มค่า
ในบทความนี้ผมจะเรียบเรียงข้อเสนอแนะต่างๆรวมทั้งเขียนถึงโอกาสที่เราอาจมองข้ามไป ดังเช่นเคยผมขอให้ท่านเปิดใจกว้างและอ่าน บทนำของบล๊อกผม เพื่อให้ท่านเข้าใจจุดยืนของผม
ข้อเสนอเร่งด่วน ระยะสั้นที่สามารถปฏิบัติได้ทันที ใช้งบน้อย:
- เรื่องความสะดวก
- จับมือกับ สายการบิน และ บริษัทรถทัวร์/รถตู้ เพื่อทำโครงการ รางต่อรถ รางต่อเรือบิน ในราคาพิเศษ และมีการประสานกันไม่ให้พลาดกันเชื่อมต่อเป็นต้น
- ในสภาวะที่ขาดหัวรถจักร ให้ลดจำนวนเที่ยวต่อวันลง โดยแยกระหว่างรถไฟ VIP ซึ่งเป็นรถชั้นหนึ่ง (นอน และนั่ง) ราคาสูงขึ้นได้บ้าง แต่ ห้ามสาย กับรถไฟชั้นสามฟรี/ถูก และชั้นสองที่อาจให้ความสำคัญน้อยลง ขอให้จัดหัวรถจักรสำรองและให้ความสำคัญกับขบวนดังกล่าวเวลาสับเปลี่ยนสับหลีกราง เพราะสาเหตุหลักที่ชนชั้นกลางซึ่งมีกำลังซื้อสูงและมีจำนวนมากไม่นั่งรถไฟก็เพราะความไม่แน่นอนเรืองเวลาและความสะดวกสบายเป็นปัจจัยหลัก ส่วนเรื่องราคาเป็นปัจจัยรอง
- สำหรับชั้นสองและสาม อาจวิ่งรถเป็นช่วงๆระหว่างสถานีหลักๆ แต่ละขบวนสั้นลง(ลดจำนวนโบกี้ต่อขบวน) แต่ถี่ขึ้น และจัดให้มีการสับเปลี่ยนและสำรองหัวรถจักรตามสถานีใหญ่ต่างๆ เพื่อถนอมหัวรถจักร (ขบวนสั้นลงกินกำลังน้อยลง เดินรถระยะสั้น มีโอกาสพักเครื่องบ่อยขึ้น) ลดปัญหาการล่าช้า (ยิ่งเดินทางสั้น ยิ่งโอกาสสายน้อย) และลดเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากจุดที่มีหัวรถจักรสำรองสู่จุดที่หัวรถจักรเสีย อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนคนที่จะขึ้นรถไฟจากสถานี "ปลายช่วง" อีกด้วย
- หากรถไฟล่าช้าควรมีการแจ้ง เวลาที่จะถึง และสาเหตุความล่าช้า อย่างเป็นระบบทั้งบนตัวรถ สถานีต่างๆ และ ตามสื่อออนไลน์ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาผู้มารับ และลดความไม่พอใจของผู้โดยสาร
- หากทราบว่ามีโอกาสสูงที่รถไฟจะล่าช้า จากปัจจัยแปรผันต่างๆ ตารางการเดินรถนั้นก็ควรบวกเวลาตรงนี้เข้าไปก่อน เพื่อให้ผู้ใช้ "ทำใจ" และไม่รู้สึกว่าโดนหลอก
- เรื่องสุขา หากยังไม่มีงบ ให้พัฒนาห้องน้ำตาม "สถานีปลายช่วง" ตามข้อ 1.3 และส่งเสริมให้คนเข้าห้องน้ำพักผ่อนตามสถานีเหล่านี้แทนการนั่งแช่หรือใช้บริการส้วมบนรถ และยังเป็นการส่งเสริมพ่อค้า-แม่ค้าที่มาเช่าที่รถไฟด้วย
- กำชับและแบ่งหน้าที่รับผิดชอบเรืองการบริการให้ชัดเจน ว่าใครดูแลส่วนใดบ้างของรถไฟ ดูแลเรื่องอะไรบ้าง (ความสะอาด ความปลอดภัย บริการประชาชนทั่วไป) รวมทั้งมีช่องทางให้ประชาชนแจ้งร้องเรียนได้ โดยสะดวก
- เรื่องความปลอดภัย
- ร่วมมือกับ อบต-อบจ สำนักงานเขต ตามทางรถไฟเพื่อติดป้ายเตือนจุดตัดรถไฟให้ทั่วถึง โดยอาจของบท้องถิ่นมาช่วย
- ส่งเสริมให้มี "อาสารถไฟ" ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ให้ค่าเบี้ยเลี้ยง หรือไม่มีค่าจ้าง มีหน้าที่ดูแลทางตัดไม่ให้เกิดอันตราย และทำงานอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีการฟึกอบรมมาก ผู้อาสารู้สึกมีคุณค่าอยากกลับมาทำ
- เรื่องราง และ รถ ในช่วงเร่งด่วนงบน้อย อาจทำอะไรไม่ได้มาก การตรวจตรา รางขอให้ทำถี่ขึ้น และ มีการสับเปลี่ยน พนักงานขับรถไฟ ตามสถานีใหญ่เพื่อลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มความชำนาญทางในช่วง(ที่สั้นลง ตามข้อ ๑.๓)ที่พนักงานต้องรับผิดชอบ
- จัดตั้งหน่วยงานภายนอก สอบสวนอุบัติเหตุและข้อร้องเรียนเรื่องรถไฟโดยเฉพาะ และชี้แจงให้สาธารณชนรับทราบอย่างสม่ำเสมอ
- เรื่องการพัฒนาบุคลากร
- มอบทุนและจับมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อให้บุคลากรรุ่นใหม่ไปศึกษาเรื่องการรถไฟและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง
- จัดให้มีการเสวนาภายในองค์กรเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
- จัดการสอบและอบรม ทบทวน อย่างสม่ำเสมอ
- พิจารณาค่าตอบแทนและตำแหน่งจากผลการทำงาน และคะแนนตามข้า ๓.๓ มากกว่าตามอายุงานเพียงอย่างเดียว โดยต้องกำหนดเกณฑ์พิจารณาให้ชัดเจน เช่นสอบได้เท่านี้ จะได้อะไร เป็นต้น
- สหภาพแรงงานควรมีสิทธิ์ในการร่วมตัดสินใจทิศทางสำคัญๆขององค์กร
- ดำเนินการแยกการบริหาร รฟท ออกเป็นสามส่วนดังที่กล่าวกันตามแผนปฏิรูปรถไฟ
- ดูแลให้ทรัพย์สิน ที่ดินเกิดประโยชน์โดยการพัฒนาที่ดิน เช่า และดูแลไม่ให้มีการรุกล้ำเพื่อป้องกันปัญหาเวนคืนที่ในอนาคต
- ดูแลราง ระบบอาณัติสัญญาณ และจุดตัดต่างๆ ให้ได้มาตรฐาน
- ผู้เดินรถ ซึ่ง(ส่วนตัว)เห็นว่าอาจอนุญาตให้มีการประมูลเส้นทางบางเส้นเพื่อให้เกิดการแข่งขันและลดปัญหาการแทรกแซงทางการเมืองในการบริหารกิจการเดินรถ โดยรฟท เอกชนหรือบริษัทที่รัฐถือหุ้นมากกว่า ๔๙.๙% (คล่องตัวเหมือนเอกชนแต่รัฐบาลมีอำนาจมาก) อาจร่วมประมูลด้วยก็เป็นได้ ทำให้ประชาชนได้นั่งรถไฟถูก มีคุณภาพ
- ควรมีการจัดตั้งกรมรถไฟเพื่อประสานงานทั้งสามหน่วยงานตามข้อหนึ่ง และวางกฎเกณฑ์ต่างๆให้ได้มาตรฐาน เป็นธรรม รวมทั้งเป็นผู้ตรวจสอบบังคับใช้กฎด้วย (ข้อเสนอจาก tdri)
- เร่งพัฒนา ราง หัวรถจักร ที่นั่ง ความสะดวกสบายโบกี้ และ บุคลากร ให้เพียงพอ มีมาตรฐาน
- จัดทำรถไฟความเร็วสูง
- สร้างความเชื่่อมั่นกับประชาชน ผ่านสื่อต่างๆ และทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการรถไฟไทยได้ง่ายขึ้นทาง เว็บไซต์ โทรศัพท์ และ โซเชียลมีเดีย
No comments:
Post a Comment